This nice Blogger theme is compatible with various major web browsers. You can put a little personal info or a welcome message of your blog here. Go to "Edit HTML" tab to change this text.
RSS

22 ม.ค. 2556

ข้อมูล ข่าวสาร







ข้อมูล ข่าวสาร
 
 


 
การสื่อสาร จำเป็นต้องมี ไม่ว่ายุคสมัยไหน


        ก่อนอื่น ต้องขอเปิดใจในวัตถุประสงค์และเป้าหมายในการเขียนบล็อกนี้อีกครั้ง หลังจากที่เคยเขียนมาบ้างแล้ว แต่บางท่านเพิ่งมาอ่านเฉพาะเรื่องหลังๆนี้ บางทีอาจจะเข้าใจไม่ตรงกัน จึงขอชี้แจงอีกครั้ง

         หลังจากเกษียณแล้ว ก็ไม่มีอะไรทำ เราต้องแยกจากสังคมที่เคยออกมาอยู่บ้านคนเดียว อาชีพอี่นก็ไม่ได้ทำอะไร ก็เลยคิดว่าเราเอาแต่นอนอ่านหนังสืออยู่อย่างนี้ทุกวัน เราคงแย่แน่ทั้งสุขภาพกาย สุขภาพจิต

        หลังจากมาสนใจในคอมพิวเตอร์ นั่งอ่านนั่งค้นไปเรื่อยก็ได้พบว่า มันเป็นเพื่อนที่ดีของเราคนหนึ่งเลยทีเดียว มันมีความรู้เรี่องราวมากมายอยู่ในนี้ และโดยเฉพาะมันไม่เถียง ไม่ค้าน ไม่บ่น ถ้าเราไม่ถูกใจมันตรงไหนเราก็คลิ๊กหนีไปที่อื่นเสีย ก็เท่านั้น

        จนกระทั่งมาพบว่าในมีเดี่ยนี้เขามีพื้นที่ให้เราแสดงออกแสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระ เขาเรียกพื้นที่นี้ว่า Blog และคนที่มาเขียนเรียกว่า Blogger เขียนแล้วก็ส่งออกเผยแพร่ได้เลย ไม่ต้องผ่านประธาน ผ่านกรรมการ ผ่าน บ.ก. ใคร ใดๆ ทั้งสิ้น

        ทีนี้ก็เข้าทางเราเลย อ่านหนังสือมาก็เยอะ ประสบการณ์ก็(น่าจะ)เยอะ นึกอะไร คิดอะไร ไม่รู้จะบอกใคร (แก่แล้ว คนเขาไม่ค่อยอยากฟัง ทั้งลูกเมีย แม้แต่หลานก็ยังรำคาญ) เอาละ ทีนี้เราก็มีที่ระบาย(ความคิด)แล้ว  แรกทีเดียวก็เปิดมันเสียหลายบล็อกเลย เพราะมีหลายแนว เขียนไปเขียนมา เขียนไม่ไหว มันเขียนไม่ทัน และถ้าเราไม่เขียนต่อเนื่อง คนที่เข้ามาอ่านเห็นว่าไม่มีเนื้อหาใหม่ๆ อีกหน่อยก็ไม่มีคนเข้ามาดู  บล็อกนั้นก็จะแห้งตายไป ถึงแม้จะมีบทความ (ดูเหมือนภาษาคนเขียนบล็อกเขาเรียกว่า Entry) ใหม่ๆมาอีกก็ตาม  เหมือนเราไปซื้อของร้านไหนแล้วไม่มีของบ่อยเข้า ที่หลังเราก็ไม่ไปร้านนั้นอีก

        นี่ก็เหลือ "ชุมชนคนเกษียณ" นี่แหละ ที่ยังเขียน(เกือบ)ประจำอยู่  เพราะมีคนเปิดเข้าดูอยู่ก็เลยเลิกไม่ได้ และอีกเหตุผลก็คือเป็นเรื่องเกี่ยวพันใกล้ตัวที่เรามีส่วนเกี่ยวข้องในสังคมส่วนนี้อยู่ ก็เลยยังพอเขียนอยู่เรื่อยๆ

       ความตั้งใจเดิม ก็คิดว่าบล็อกนี้จะเป็น two way communication คิดว่าจะมีคนมาแสดงความคิดเห็นแลกเปลี่ยนทรรศนะกันบ้าง แต่เอาเข้าจริงแล้วมีน้อยมาก และก็จะส่งมาทางอีเมล์ และบางส่วนก็โทรฯมาถามบางเรื่อง และเป็นที่น่ายินดีว่า มีบุคคลภายนอกมาอ่านบล็อกนี้บ้างเหมือนกัน เช่นเคยมีนักศึกษาปริญญาโทกำลังทำวิทยานิพนธ์เรื่องชีวิตหลังเกษียณ โทรมาสอบถามข้อมูล หรือบางท่านโทรมาถามข้อมูลบางอย่างในเรื่องที่เขียน สรุปในที่สุดก็ลงเอยกลายเป็น one way communication ไปนั่นเอง

 One Way ครับ คุยกันไม่รู้เรื่อง ก็นั่งยิ้มกันหย่างงี้แหละ
       

         ในเมื่อไม่มี Feedback กลับมาบ้าง ผู้เขียนก็เดาไม่ออกว่าผู้อ่านคิดอย่างไร เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยอย่างไร จะได้แลกเปลี่ยนทรรศนะในเรื่องที่สนใจร่วมกัน  ในที่สุดผู้เขียนก็ต้องตัดสินใจว่า  เอาอย่างนี้ก็แล้ว ต่อไปนี้เราก็เขียนตามใจที่อยากเขียนก็แล้วกัน อยากจะเขียนอะไรก็เขียนไป ใครไม่ชอบ ไม่น่าสนใจเค้าก็ไม่อ่านเองนั่นแหละ  ถือว่าการเขียนเป็นความสุขของเรา เป็นงานอดิเรก ป้องกันสมองเป็นอัลไซเมอร์ และยังไม่ต้องเสียเงินเสียทองอะไร นอกจากค่าเครื่องคอมพิวเตอร์ ค่าเช่าอินเตอร์เน็ต ค่าไฟ ค่ากาแฟบ้างเท่านั้นเอง

         ใครรำคาญคนแก่บ่นก็ข้ามไปนะครับ อย่ามาด่ากันว่าเขียนไม่ได้เรื่องก็แล้วกัน (แต่จริงๆแล้ว ผมกลัวเขียนแล้ว "ได้เรื่อง" มากกว่า)

        ถึงแม้ผมจะยืนยันอยู่เสมอว่า บทความที่ผมเขียนนี้เป็นความคิดของผม เป็นความรับผิดชอบของผม และบล็อกนี้ก็ใช้ฟรี ไม่ได้เอาเงินใครมาทำ แต่ด้วยที่ผมเป็นกรรมการชมรมผู้เกษียณของสหกรณ์ออมทรัพย์ (ชสอฟ.) อยู่ด้วย จึงกลายเป็นว่ามีหมวกอีกใบ  ดังนั้นเมื่อผมเขียนพาดพิงกระทบกระเทือนถึงการทำงานของกรรมการสหกรณ์คนหนึ่งในฐานะที่ผมเป็นสมาชิก  จึงอดไม่ได้ที่จะมีผู้หลักผู้ใหญ่ในชมรมเห็นว่าการกระทำของผม "ไม่เหมาะสม" ถึงกับเสนอวาระให้คณะกรรมการพิจารณาการกระทำของผม   กรรมการท่านนั้นกล่าวว่าการกระทำของผม เกรงว่าจะสร้างความไม่พอใจให้กรรมการสหกรณ์คนนั้น ซึ่งอาจจะมีปัญหากับเงินช่วยเหลือชมรมฯ ซึ่งต้องผ่านการพิจารณาจากกรรมการสหกรณ์  ผมก็คิดว่าควรจะลาออกในวันนั้น แต่ด้วยความเคารพท่านประธานชมรมฯที่ไกล่เกลี่ยให้ยกวาระนั้นไป  จึงยับยั้งใจไว้  และเป็นที่น่ายินดีว่าในวันประชุมใหญ่วันที่ 11 กุมภาฯนี้ ผมก็จะสิ้นสุดการเป็นกรรมการชมรมฯ สามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระ โดยไม่ต้องมีเสียงจิ้งจกตุ๊กแกมาร้องจุ๊กจิ๊กให้รำคาญอีกต่อไป

        แต่ความอิสระของผมคือความคิดทั่วๆไปที่ควรเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ต่อสังคม ไม่ใช่จะเที่ยวไปว่ากล่าวใครได้มั่วๆ อาจจะโดนข้อหาหมิ่นประมาทได้  การพาดพิงไปถึงผู้หนึ่งผู้ใด จะต้องเป็นเรื่องที่บุคคลผู้นั้นกระทำไปในฐานะบุคคลสาธารณะ ที่ท่านอาสาเข้ามาบริหารองค์กรต่าง ๆ ท่านจะต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้ ถ้าการกระทำของท่านมีผลกระทบต่อสมาชิก หรือผู้ร่วมองค์กร  ทั้งนี้ ผมคงไม่มีเจตนาจะกลั่นแกล้งให้ร้ายป้ายสีผู้ใดให้เสียหายถ้าท่านไม่ทำอะไรที่ทำความเสียหายต่อองค์กร เพราะทุกคนก็เป็นเพื่อนเป็นน้องที่คบหารักใคร่กันมาแทบทั้งนั้น  และยิ่งเป็นระยะเวลาใกล้ถึงวันเลือกตั้ง อาจจะมีความอ่อนไหวบ้าง  แต่การเสนอความเห็นใดๆของผมก็เพื่อประโยชน์ของสมาชิกเป็นที่ตั้ง ขอให้ทราบว่าไม่มีเจตนาเป็นอย่างอื่น การไม่มี บ.ก. อาจจะหลุดอะไรออกไปบ้างก็ต้องระมัดระวังเอง






เจอขาใหญ่เข้า  หำใหญ่เลยต้องหลบมานอนหยั่งงี้แหละ
 
 
 
         ในระหว่างที่รอวันที่ 21 กุมภาฯ เพื่อจะไปเลือกตั้งกรรมการสหกรณ์ฯแทนชุดที่หมดวาระไป ก็คิดดูว่าเราจะใช้ข้อมูลอะไรเป็นข้อพิจารณาว่าจะเลือกใครดี  เพราะผู้เกษียณแต่ละคนก็อยู่ที่บ้าน  การหาเสียงแถลงนโยบายของผู้สมัคร ก็ทำกันเฉพาะที่เขต กฟน. ต่าง ๆ เท่านั้น  ผู้เกษียณไม่มีโอกาสรู้ได้เลย
 
         ลองคิดคร่าวๆว่าหากสมาชิกสหกรณ์มีทั้งหมดประมาณหมื่นคน  ในจำนวนหมื่นนั้นน่าจะมีผู้เกษียณอยู่ประมาณสองพันคน ถือว่าประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์
 
         ในการเลือกตั้งแต่ละครั้งทีมที่ชนะคะแนนจะอยู่ที่ประมาณ 4000 - 6000 คะแนน  เมื่อเทียบคะแนนต่ำสุดของผู้ชนะ จะใกล้กับคะแนนสูงสุดของทีมที่แพ้   ดังนั้นถ้าเสียงของผู้เกษียณไม่กระจัดกระจาย สามารถรวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนได้  ก็อาจมีพลังในการตัดสินผู้ชนะได้ เช่นพรรคการเมืองขนาดกลาง ที่สามารถชี้ชะตาตัดสินพรรคที่จะจัดตั้งรัฐบาลได้  แต่ผู้นำผู้เกษียณมองไม่เห็นพลังตรงนี้ มัวแต่กลัวว่าจะไม่ได้รับการแต่งตั้งจากกรรมการฯ    จะไม่ได้รับเงินช่วยเหลือจากสหกรณ์ฯ จึงทำให้สมาชิกผู้เกษียณขาดการให้ความสนใจจากกรรมการสหกรณ์   ถือว่ามีผู้นำเป็นที่ปรึกษาแล้ว ผู้เกษียณก็เหมือน "หมูในอวย" จะเลือกกรรมการตามที่ผู้นำแนะนำ โดยไม่ต้องมีข้อมูลใดๆเลย
 
        ในอดีตนานมาแล้ว  เคยมีการจัดประชุมผู้เกษียณ ก่อนมีการเลือกตั้ง  แต่รู้สึกว่าการเรียกประชุมครั้งนั้นเป็นการจัดขึ้นของคณะกรรมการบริหารในขณะนั้น เพื่อชี้แจงข่าวที่ไม่ดี หรือข่าวลืออะไรส้กอย่าง จำไม่ได้แล้ว  หลังจากนั้นรู้สึกว่าจะไม่เคยจัดอีกเลย
 
        ที่รื้อฟื้นเรื่องนี้ขึ้นมา ก็เพื่ออยากให้สหกรณ์ถือเป็นระเบียบวาระว่า ก่อนมีการเลือกตั้ง ต้องมีการเปิดประชุมผู้เกษียนที่สมัครใจเข้ารับฟังนโยบายของผู้สมัครทุกทีมและผู้สมัครอิสระทุกคน โดยใช้งบประมาณของสหกรณ์ และให้มีการตั้งกรรมการกลางขึ้นมาเพื่อดำเนินการในเรื่องนี้โดยเฉพาะ  ทั้งนี้ต้องมีการส่งหนังสือแจ้งสมาชิกผู้เกษียณทุกคน ก็แล้วแต่ผู้เกษียณจะมาหรือไม่มา
 
       การกระทำเช่นนี้จะมีผลดีคือ
 
       1.) ผู้สมัครอิสระทุกคน และทุกทีมจะได้มีโอกาสแถลง ชี้แจง นำเสนอนโยบายที่เป็นประโยชน์แก่ผู้เกษียณ
 
        2.) ผู้สมัครหน้าใหม่จะได้มีโอกาสแนะนำตัวแก่ผู้เกษียณ เพื่อความเป็นธรรม ถึงแม้ผู้เกษียณอาจมาไม่ครบทุกคนก็ตาม ถ้าผู้เกษียณเห็นว่าดี ก็จะบอกต่อๆกันไป
 
         3.) เป็นการให้โอกาสผู้สมัครที่มีนโยบายต้องการดูแลช่วยเหลือผู้เกษียณได้มีโอกาสเสนอแนวคิดถึงตัวผู้เกษียณ เพื่อการตัดสินใจ
 
         4.) ผู้เกษียณมีโอกาสที่จะได้รับสิทธิประโยชน์ที่ดีขึ้น จากการลงคะแนนเสียงให้ทีมที่มีนโยบายเกื้อหนุนช่วยเหลือผู้เกษีนณ
 
 
         ผลเสีย
 
               1.) ผู้สมัครที่ไม่มีนโยบายต่อผู้เกษียณ อาจไม่ชอบ เพราะไม่มีนโยบายอะไรจะแถลง
 
               2.) ผู้สมัครที่มีเครือข่ายคุมเสียงผู้เกษียณอยู่แล้ว อาจไม่ชอบ เพราะอาจถูกแบ่งคะแนนเสียงไปได้
 
 
 
 
        นี่เป็นหนึ่งแนวคิดที่ผมขอเสนอ  คงยังไม่สายเกินไปก่อนถึงวันเลือกตั้ง
 
        ผมไม่มีเวลาและโอกาสตรวจสอบว่าสมาชิกสหกรณ์ที่เป็นผู้เกษียณมีกี่เปอร์เซ็นต์ของสมาชิกทั้งหมด และเป็นผู้มีเงินอยู่ในสหกรณ์เท่าไหร่  แต่เทียบไม่ได้กับสวัสดิการและสิทธิที่ควรจะได้รับ
 
 
         อย่าลืมว่า ปรัชญาของสหกรณ์ คือ ผู้มีและผู้ไม่มีจะอยู่ร่วมกันและช่วยเหลือกันอย่างเท่าเทียมกัน
 
 
............................
 
     จะมีใครฟังหรือเปล่า ผมไม่ทราบ
     แต่ผมได้ทำตามความคิดของผมแล้ว
     บอกแล้วไง...."ความคิด" ไม่ต้องเสียตังค์
 
 
 
 
 
 
      สวัสดีครับ....
 
 
 
 
 
 
***********

17 ก.ค. 2554

ช่องทางสื่อสารของคนเกษียณ (2)


การสื่อสารหลังเกษียณ (2)


        
          กลับมาแล้วครับ หลังจากมีเรื่องอื่นๆมาคั่นไปเล็กน้อย ใครที่ไม่ได้อ่านตอน 1 จะย้อนไปอ่านย้อนหลังก่อนก็ได้นะครับ หรือจะไม่อ่านก็ไม่เป็นไรครับ

         มีผู้อ่านสงสัย อยากรู้ว่าในตอนที่แล้ว มนุษย์ที่ขออายุมาจากพระเจ้าจนรวมกันแล้วได้ถึง 70 ปี จะเป็นอย่างไรต่อไป ต้องติดตามนะครับ

          เอาหละ กลับมาที่คนเกษียณกัน

          นี่ก็เหลืออีกประมาณสองเดือนกว่า ก็จะมีน้องใหม่ออกมาอีกสามร้อยกว่าคน  ในสังคมผู้สูงอายุก็จะมีสถิติเพิ่มมาอีกสามร้อยกว่าคน ตามสถิติเขาว่าอีกสิบปีข้างหน้า จะมีผู้สุงอายุกว่าสิบล้านคนนั่นแน่ะ

          ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม ก็จะมีคนที่ลุกจากที่นอนออกมาแล้วก็เก้ๆกังๆ เดินไปเดินมา วันนี้จะทำอะไรดีน้า  บางคนวันแรกๆก็อาจจะคิดว่า เอ้อ..สบายจริง(โว๊ย) ไม่ต้องไปทำงาน เมื่อเดินไปเดินมาจนครบเดือนแล้วนี่หละ จะใจหาย เฮ้ย สิ้นเดือนแล้วว่ะ แต่เราไม่ได้รับเงินเดือนแล้ว โอ้โฮ หายไปตั้งหลายหมื่น ใจมันหวิวๆชอบกล

          เมื่อครั้งที่แล้วเราพูดถึงว่าเวลาเราเกษียณแล้วนี่ เราพอจะติดตามข่าวคราวของพวกเรากันได้ทางใดได้บ้าง  ยกตัวอย่างที่เราจะได้รับข่าวก็มาจากวารสารสหกรณ์บ้าง วารสารจากชมรมฯบ้าง นอกเหนือจากนี้เรายังมี Website ที่มีข่าวคราวที่เราควรติดตาม ก็คือ Website ของสหกรณ์ออมทรัพย์ฯ คือ www.meacoop.com ซึ่งจะมีข้อมูลต่างๆที่เราควรรู้ บางคนไม่อยากมาเบิกเงินที่วัดเลียบ ก็อาจจะคอยดูตารางรถโมบาย คอยไปเบิกที่เขตใกล้บ้านเป็นต้น อีก Website หนึ่งเป็นของสหภาพฯคือ  www.meawu.org  ถึงแม้เราจะหมดสมาชิกภาพการเป็นสมาชิกสหภาพไปแล้วก็ตาม  แต่ก็ควรติดตามสนใจข่าวคราวดูบ้าง โดยเฉพาะกรรมการชุดนี้ได้ยื่นข้อเรียกร้องให้มีการปรับปรุงเรื่องการรักษาพยาบาลและปรับปรุงโรงพยาบาลให้มีหมอและมีเครื่องไม้เครื่องมือครบถ้วนสมบูรณ์ขึ้น  ซึ่งพวกเราผู้เกษียณก็จะได้รับประโยชน์ตรงนี้ด้วย  และตอนนี้ได้ทราบจากท่านประธานสหภาพฯคุณประจวบ คงเป็นสุข และรองฯทั้งสองท่านคือคุณคมสัน ทองศิริ และคุณสมาน ขามเทศทอง ซึ่งดูแลงานประชาสัมพันธ์อยู่ ว่ากำลังปรับปรุงเรื่องการประชาสัมพันธ์ให้ทันสมัยและกว้างขวางยิ่งขึ้น โดยเฉพาะจะมีการแบ่งพื้นที่ให้มีข่าวสำหรับผู้เกษียณส่วนหนึ่งด้วย  ก็นับได้ว่าเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ผู้เกษียณจะมีโอกาสได้ติดตามดู  หากมีอะไรที่จะช่วยกันได้ จะได้ไปช่วยกัน อย่างน้อยไปเป็นกำลังใจให้น้องๆกันบ้างก็ยังดี  

         ส่วนผู้ที่เคยติดตามข่าวสารทาง Intranet ของการไฟฟ้านครหลวงก็คงต้องกล่าวคำอำลา เพราะเมื่อท่านไม่ได้ทำงานแล้ว ท่านก็ไม่มีโอกาสเข้าไปเปิดดูได้อีก จะเปิดจากที่บ้านนั้น เข้าไม่ได้ครับ ส่วน Website ของ กฟน. คือ www.mea.or.th คงจะไม่มีข่าวสารสำหรับพวกเรานอกจากการประชาสัมพันธ์ของหน่วยงาน อาจมีกิจกรรมสำหรับผู้สูงอายุบ้าง แต่ก็เป็นกิจกรรมของผู้สูงอายุที่เป็นลูกค้า กฟน.เพื่อการประชาสัมพันธ์ (ที่จริงตอนนี้เราก็เป็นลูกค้า กฟน.เหมือนกันนะเพราะเราก็ต้องจ่ายค่าไฟให้ กฟน.เหมือนกัน)  ยกเว้นใครอยากรู้ว่าตอนนี้ใครเป็นผู้ว่าฯ รองผู้ว่าฯ ก็เปิดเข้าไปดูหน้าตากันได้  

          เพราะฉะนั้นในงานเลี้ยงเกษียณวันสุดท้ายนั่นแหละ ท่านจงเก็บความสุขความทรงจำไว้ไห้ได้มากที่สุด หลังจากวันนั้นแล้ว จะไม่มีนายคนไหนมายิ้มหวานเอ็นดูเอาอกเอาใจพูดเพราะๆกับท่านเหมือนวันนั้นอีกแล้ว

          นอกจาก Website ที่เรารู้จักตามที่กล่าวมาแล้ว  ท่านสามารถหาข่าวสารข้อมูลจาก Website ต่างๆอีกมากมาย หากท่านมีเวลา ว่ากันว่าถ้าท่านนั่งเปิดอินเตอร์เน็ตตลอด 24 ชั่วโมงท่านจะต้องใช้เวลาเป็นร้อยๆปีท่านจึงจะเปิด Website ได้ครบ 

          แต่ที่กล่าวมานี่ ท่านจะต้องมีความรู้เรื่องคอมพิวเตอร์บ้างเล็กน้อย

         ซึ่งไม่ยากเลย ให้ลูกหลานสอนให้ก็ได้ อีกอย่างท่านจะต้องมีเครื่องคอมพิวเตอร์และต้องเช่าสายอินเตอร์เน็ตเท่านั้น ราคาก็ไม่แพง พอๆกับเรารับหนังสือพิมพ์ 2 ฉบับ แต่ในอินเตอร์เน็ตเราสามารถอ่านหนังสือพิมพ์ได้ทุกฉบ้บ

          พูดถึงผู้สูงอายุหัดใช้อินเตอร์เน็ตแล้ว ผมนึกถึงผู้เกษียณท่านหนึ่ง ท่านหัดใช้คอมพิวเตอร์เมื่อเร็วๆนี้เอง ท่านอายุเท่าไหร่แล้วรู้ไหม ท่าน 70 กว่า ผมว่าน่าจะใกล้ 80 แล้วมั๊ง(ไม่รู้เกินไปหรือเปล่า เดี๋ยวเจ้าตัวจะโกรธ)  เดี๋ยวนี้ท่านร่วมวงเป็นสมาชิกกับพวกเราใน Facebook คุยกันสนุกสนาน ตอนแรกท่านก็ขลุกๆขลักๆ แต่ได้ลูกๆช่วยกันประคองจนตอนนี้สบายแล้ว  หากใครสนใจลองเข้าไปคุยกับท่านได้ครับแอดไปที่ facebook.com/sombun ok-veja ที่ยกตัวอย่างมานี่ ต้องการให้กำลังใจแก่ผู้สูงอายุที่กลัวคอมพิวเตอร์ครับ ก็ต้องขออนุญาตที่กล่าวชื่อพี่สมบุญด้วยครับ

          ตอนนี้เราจะมาพูดถึง Social Media คือการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกันในสังคมอินเตอร์เน็ต ที่กำลังฮิตกันอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งรุ่นเดียวกับผมหรือรุ่นใกล้ๆกัน ไม่ค่อยมีใครจะสนใจกันนัก อ้างว่าไม่เคยใช้  จะมีบางคนเท่านั้นที่ลองพยายามใช้ดู พอใช้เป็นแล้วเริ่มจะติดใจ  ไม่ใช่อะไรหรอกครับ รุ่นๆผมนี่ ส่วนมากแล้วจะเป็นประเภท "กลัว" คอมพิวเตอร์ คือยังไม่ทันทดลองเลยก็กลัวไว้ก่อน ไม่กล้าไปแตะมัน ก็ไม่ว่ากันครับ ใครชอบทางไหนก็แล้วแต่สะดวก สำหรับท่านที่ไม่มีงานอดิเรกอย่างอื่น ยังคิดไม่ออกว่าจะทำอะไรดี สำหรับผู้ที่ว่างนะครับ  ก็อยากจะชวนมาใช้ "social media" (พูดให้มันโก้ๆหน่อย)ที่เราจะพูดถึงต่อไป

         มันมีหลายอย่างครับ แต่ที่จะแนะนำวันนี้ คือ Facebook ครับ คงจะไม่กล่าวความเป็นมาและคุณสมบัติของมันให้เสียเวลาครับ ใครที่กำลังจะเกษียณถ้ายังทำไม่เป็นให้น้องๆในที่ทำงานช่วยแนะนำและสมัครเป็นสมาชิกให้หน่อยใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีหรอกครับ หลังจากนั้นก็ค่อยหาเพื่อนไปเรื่อยๆ  ถ้ายังหาเพื่อนไม่ได้ ลอง add มาที่ Facebook.com/ชุมชน คนเกษียณ ก่อนก็ได้ครับ เดี๋ยวมันก็จะมีชื่อคนอื่นๆที่ท่านอาจรู้จักให้ add ต่อกันไปเรื่อยๆ  แล้วท่านก็จะมีเพื่อนคุยเป็นร้อยในอนาคต

          ลองดูนะครับ ไม่ยากเลย และตอนนี้กรรมการสหภาพฯ  กรรมการสหกรณ์ก็เริ่มเปิด Facebook กันหลายท่านแล้ว ก็คงจะมีการประชาสัมพันธ์แจ้งให้ทราบกันต่อไป รวมทั้งจะมี Facebook ขององค์กร คือของสหภาพฯ และของสหกรณ์ฯทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางให้สมาชิกได้ติดต่อพูดคุยกันอีกทางหนึ่ง   อีกหน่อยใครมีข้อสงสัยใดๆสามารถสอบถามได้ทันทีเลย  ดังนั้น สำหรับผู้เกษียณแล้วควรมีไว้เป็นอย่างยิ่งเพราะข่าวคราวที่ท่านได้จากที่ทำงานเมื่อเกษียณแล้วท่านก็จะไม่ได้รับอีกต่อไป 

          ในฐานะที่ผมเกษียณมาก่อน(ไม่ใช่ว่าดีนะ) ก็อยากจะแนะนำ สำหรับผู้ที่มีเวลาว่างและใจรัก มีช่องทางมาพูดคุยกันแก้เหงาครับ  หรือใครไม่อยากคุย แต่อยากจะติดตามข่าวคราวก็แวะมาอ่าน Blog ที่ผมเขียนอยู่นี้ได้ครับ  hhtp://60society.blogspot.com มีสาระบ้าง ไม่มีสาระบ้าง ก็คุยกันไป  เปิด Blog มาประมาณ 10 เดือนมีคนคลิ๊กเข้าดูประมาณเกือบ 5,000 ครั้งแล้ว มีผู้ติดตามอยู่ 4 ท่าน เป็นลูกสาวเสียหนึ่ง (หน้าม้า) คุณหมอลูกสาวเพื่อนให้เกียรติมาอีกหนึ่ง รวมเป็นสอง อีกสองท่าน ที่ผมถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง คนหนึ่งเป็นคนที่เคยคุ้นเคยกันคือคุณสรายุทธ เทศผล(ขออนุญาตเอ่ยนาม) ทราบว่าจะเกษียณในปีนี้ อีกท่านหนึ่งน่าจะเป็นบุคคลภายนอก ถ้าท่านที่กล่าวถึงนี้มีโอกาสได้อ่านในวันนี้ ขอให้ทราบว่าผมขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่งที่ให้กำลังใจในครั้งนี้  ความดีใจของผู้เขียนหนังสือ ก็คือมีผู้อ่าน 

          ตัวชี้วัดด้านปริมาณ ก็คือจำนวนครั้งของคนเข้าดู อีกตัววัดหนึ่งวัดด้านคุณภาพก็คือจำนวน "ผู้ติดตาม" คนอาจเข้าดูเยอะ แต่บทความไม่ดีก็ไม่มีผู้ติดตาม "ผู้ติดตาม"แสดงถึง "ความชอบ" เช่นการ "Like" ใน Facebook ใครได้ "Like" มาก ก็หมายความว่า ชอบมาก  เมื่อเขียนแล้วไม่ถูกใจผู้อ่านก็ต้องทบทวนแล้วครับ  อาจต้องหยุดพักผ่อนสักพัก หรือจะไปหาสนามใหม่  นีขนาดเป็นประชาสัมพันธ์ให้ชมรมฯมา 2 ปี เค้ายังไม่ให้เขียนอะไรเลยครับ จนหมดวาระ เขียนไปแผ่นเดียวยังไม่ลงให้เลย เรื่อง "มือที่สาม"ที่ผมมาลงไว้ที่ Blog นี้แหละครับ ที่ว่าจะมีต่อ มันก็เลยไม่มี

          หากใครคิดว่า Blog นี้ได้ประโยชน์บ้าง จะช่วยคลิ๊กที่ผู้ติดตาม ทางด้านขวามือของท่านก็ยินดีครับ จะได้เช็คเรตติ้ง ก่อนว่าควรเลิกเขียนได้แล้วหรือไม่

         เอ้า..มาเล่าเรื่องของ "มนุษย์" กันต่อ

         หลังจากที่ได้อายุรวมแล้วทั้งสิ้น 70 ปี

        20 ปีแรก มนษย์อยู่อย่างมีความสุขความสบายอย่างที่สุด เที่ยวเตร่สนุกสนาน ใช้ชีวิตอย่างสบายๆ ตามที่พระเจ้าได้กำหนดมา
        เมื่อครบ 20 ปีแล้ว ต่อไปเป็นชีวิตของวัว ที่พระเจ้ากำหนดหน้าที่การงานต้องลำบากตรากตำทำงานหนักเพื่อเลี้ยงผู้อื่น  เมื่อมนุษย์ไปรับชีวิตช่วงนี้มา จึงต้องรับเอาหน้าที่นี้มาด้วย ดังนั้นใน 30 ปีนี้มนุษย์จึงต้องทำงานอย่างหนักเพื่อเลี้ยงครอบครัว
         
         ผ่านไปแล้ว 50 ปี สิ้นสุดความเหนื่อยยากของวัวเสียที ต่อไปก็เป็นชีวิตของลิง ตอนนี้ชีวิตเริ่มสุขสบาย มีลูกมีหลานให้เลี้ยง พอดีเลยเอานิสัยลิงมาใช้ได้อย่างเหมาะเจาะ ได้ทำท่ายักคิ้วหลิ่วตาแลบลิ้นทำท่าขยุกขยิกเล่นเป็นลิงหลอกหลานไปพลางๆจนได้เวลาสิบปี

        เมื่อครบ 60 ปี หลานๆก็เริ่มโตแล้ว เบื่อแล้ว เล่นกับคุณตา คุณปู่ เล่นเกมก็ไม่เป็น ไปเล่นกับเพื่อนดีกว่า คุณตาคุณปู่ ตอนนี้ก็เกษียณแล้ว งานก็ไม่มีทำ เพื่อนฝูงก็หายหน้ากันไปหมด เพราะต่างคนสังขารก็ล่วงโรยไปตามๆกัน

        10 ปีต่อไปนี้เป็นของหมาแล้วละครับ หมามีหน้าที่อะไรล่ะ หมามีหน้าที่เฝ้าบ้าน และคอยเห่าคนเดินผ่านไปผ่านมา  มนุษย์ไปเอาชีวิตของหมามา ตอนนี้ก็มีหน้าที่คอยเฝ้าบ้านให้ลูกให้หลาน  และก็คอยทักทายเพื่อนบ้านที่เดินผ่านไปผ่านมา เหมือนใครบางคนเปี๊ยบเลย

         สมัยก่อนการสาธารณสุขไม่ค่อยดี พระเจ้าจึงให้ชีวิตไว้แค่ 70 ปี ถ้าพระเจ้ารู้ว่าสมัยนี้มีวิทยาการทางการแพทย์ดีๆ มนุษย์อยู่ได้เป็นร้อยปี คงจะให้ชีวิตของสัตว์อะไรมาอีกก็ไม่รู้  แต่ที่เห็นๆกันอยู่ คนที่เกิน 70 เขาทำอะไรกันบ้าง ท่านลองนึกดูซิ จะเหมือนสัตว์อะไรกันบ้าง(นี่ไม่ได้หยาบนะครับ พูดตามพระเจ้า) ใครทายว่าอย่างไรไม่ต้องมาบอกนะครับ เก็บไว้ในใจตัวเองก็แล้วกัน

          สำหรับผม ตอนนี้กำลังใช้ชีวิตของหมาอยู่ ตอนนี้ก็มีหน้าที่เฝ้าบ้าน  แต่ซอยบ้านผมไม่ค่อยมีคนเดิน เลยไม่รู้จะเห่าใคร ก็เลยต้องมาเห่าทางคอมพิวเตอร์นี่แหละ  และก็ไม่ได้คุย ตอนนี้หมาอย่างผมกำลังได้รับเชิญให้ไปช่วยกันเห่า เอ๊ยไม่ใช่ ให้ไปช่วยเห่าที่ "ข่าวลูกจ้าง" กันหน่อย ก็กำลังตัดสินใจอยู่ แต่ก็กลัวอยู่เหมือนกัน ไอ้เรามัน "หมาแก่" แต่ที่นั่นมัน...หนุ่มๆทั้งนั้นเลย กลัวจะเห่าสู้ไม่ได้

         ง่วงนอนแล้วครับ "หมาแก่" ขอไปนอนก่อนหละครับ

         สวัสดีครับ


**************

27 มี.ค. 2554

เกิด-แก่-เจ็บ-ตาย

ท่านมีอาการอย่างนี้หรือไม่.....


อายุ   10  ปี     อาบน้ำบ่หนาว  


อายุ   20  ปี     เกี้ยวสาวบ่เบื่อ


อายุ   30  ปี     เสือสู้ทุกท่า


อายุ   40  ปี     ลาเมื่อก่อนไก่


อายุ   50  ปี     ไปนากลับมาทอดหุ่ย


อายุ   60  ปี     เป่าขลุ่ยบ่ดัง


อายุ   70  ปี     เดินทางบ่ตรง


อายุ   80  ปี     ลงดินบ่ได้


อายุ   90  ปี     ขี้ไหลบ่ฮู้


อายุ  100 ปี     ไข้ก็ตาย บ่ไข้ก็ตาย




ตอนนี้ท่านอายุเท่าไหร่แล้ว?????
อย่าคิดอะไรมาก เรามาหาความสุขสนุกสนานให้จิตใจสบายกันดีกว่า ชีวิตคนเรานั้นสั้นนัก
ดูซิ..เหมือนว่าเราเพิ่งเข้าทำงานกันเมื่อเร็วๆนี้ เผลอแพลบเดียว เกษียณเสียแล้ว.....




*********

8 พ.ย. 2553

ทดสอบการพิมพ์

TEST

13 ก.ย. 2553

ยินดีต้อนรับผู้มาเยือน

        สวัสดีครับ ท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยือนชม Blog นี้  ทั้งพี่ๆที่เกษียณไปแล้ว และเพื่อนๆที่จะเกษียณในปีต่อๆไป  รวมทั้งทุกๆท่านที่แวะเวียนผ่านมา อาจจะรู้จักพี่ๆของท่านไม่คนใดก็คนหนึ่ง  ชมแล้วช่วยบอกกกันต่อๆไปนะครับ

        ผม..ในฐานะผู้ช่วยประชาสัมพันธ์ "ชมรมผู้เกษียณอายุสหกรณ์ออมทรัพย์สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการไฟฟ้านครหลวง จำกัด" (ชื่อยาวหน่อยนะครับ ที่ชื่อยาวนั้นขยายความได้ดังนี้ คือ "ชมรมผู้เกษียณอายุ" เมื่อก่อตั้งขึ้นมาจนทุกวันนี้ก็โดยได้รับการสนับสนุนทางด้านการเงินจากสหกรณ์ฯ  จึงต้องมีชื่อสหกรณ์ฯกำกับมาด้วย  และสหกรณ์ฯนั้นก็เกิดจาก "สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการไฟฟ้านครหลวง" ก็กำกับตามหลังมาอีกที  ดังนั้นคนที่จะเป็นสมาชิกชมรมฯได้ ก็คือผู้ที่เป็นสมาชิกสหกรณ์เท่านั้น  แต่ผู้ที่ไม่เป็นสมาชิกก็สามารถมาเยี่ยมเยียนพูดคุยกันได้นะครับ  โดยเฉพาะผู้ที่ใกล้ๆเกษียณน่าจะมาทำความรู้จักคุ้นเคยกันไว้ )

        ผมคิดว่า พวกเราที่เกษียณไปแล้ว  ก็มักจะขาดการติดต่อกับอดีตเพื่อนร่วมงาน  ข่าวคราวอะไรก็มักจะไม่ทราบ  ทั้งจากน้องๆที่ยังทำงานอยู่ และหรือเพื่อนๆพี่ๆที่เกษียณไปแล้ว

        เมื่อได้มีโอกาส  ได้รับความไว้วางใจจากพี่ๆกรรมการชมรมฯชุดพี่วิเชียร ปั้นศรี (ประธานชมรมฯ)ให้มารับหน้าที่ผู้ช่วยประชาสัมพันธ์ของชมรม ก็คิดว่าจะทำอย่างไรให้มีการสื่อสารระหว่างพวกเราได้รวดเร็ว ทั่วถึงยิ่งขึ้น

        ชมรมฯมีการออกข่าวสารเป็นการถ่ายสำเนา ปีละ 4 ครั้ง (สามเดือนครั้ง) ซึ่งไม่สามารถส่งข่าวสารที่ทันสมัย (update)ได้ และต้องมีค่าใช้จ่ายเช่นค่ากระดาษ,ค่าแสตมป์นี่ยังไม่รวมค่าแรงที่น้องๆมาช่วยให้ฟรีๆจึงเรียกได้ว่าวารสารมีแต่ "ข่าวแห้ง" หรือกว่าจะถึงเวลา ข่าวนั้นก็หมดสมัยไปแล้ว  บางครั้งชมรมฯมีข่าวสารหรือกิจกรรมเร่งด่วน หรือมีสมาชิกของเราเจ็บป่วย หรือเสียชีวิต ก็ไม่อาจแจ้งให้สมาชิกหรือเพื่อนฝูงหรือน้องๆที่ทำงานอยู่ได้ทราบอย่างทันท่วงที  ขณะนี้ผมได้เปิด Blog ไว้สื่อสารกับพวกเรา ซึงสามารถเปิดดูได้โดยพิมพ์คำว่า  http://60society.blogspot.com  หรือชื่อไทยว่า "ชุมชนคนเกษียณ" แต่ก็ยังมีข้อจำกัด ที่เน้นไปในทางสื่อสารทางเดียว อีกประการก็คือรุ่นเราๆ มีผู้ใช้คอมพิวเตอร์น้อยมาก


        ในหน้าที่ของประชาสัมพันธ์ชมรมฯ  เมื่อเวลาชมรมฯมีงานหรือกิจกรรมเข่นไปพักผ่อนหรือเรียกกันว่าไปทัศนศึกษาตามสถานที่ต่างๆ  เราก็จะมีการถ่ายรูปร่วมกัน  แต่เมื่อกลับมาแล้ว ก็แยกย้ายกันกลับบ้าน  ไม่มีโอกาสมาดูรูปร่วมกัน แล้วก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสมาได้ดูกันเมื่อไหร่  สถานที่ของชมรมฯก็ไม่มี ไม่รู้จะนัดกันอย่างไร  เก็บรูปสวยๆไว้ เสียดายเจ้าของรูปไม่มีโอกาศได้เห็น  ผมจึงเปิด Blog นี้ขึ้นมา  และจะทำหน้าที่รวบรวมรูปของพวกเรามาแบ่งปันกันดู  ถึงแม้จะเสียเวลาในการโหลดภาพมาก  จึงอยากให้พวกเราเข้ามาดูกันมากๆ ใครที่ดูแล้วก็ช่วยบอกเพื่อนๆมาช่วยกันดูนะครับ  ใครเล่นคอมพิวเตอร์ไม่เป็น ก็จดชื่อนี้ไว้แล้วไปบอกลูกหลานให้เปิดให้ดู  http://picture2me.blogspot.com หรือเข้าไปดูที่  http://60society.blogspot.com  แล้วกด Link มาก็ได้ครับ

        ปัญหาที่ว่าคือว่ารุ่นๆพวกเรายังมีผู้ใช้คอมพิวเตอร์กันน้อยมาก  กรรมการชมรมเองส่วนใหญ่ก็ยังไม่ใช้คอมพิวเตอร์กันเลยครับ  ก็ต้องยกให้ท่านเพราแต่ละท่านก็อยู่ในวัยเจ็ดสิบบวก-ลบกันแล้วครับ(เขียนไปอย่างนี้ ท่านก็ไม่รู้หรอกครับ เพราะท่านไม่เคยดูหรอก)  ก็หวังว่ารุ่นต่อๆไปคงจะมีผู้ใข้คอมพิวเตอร์เพิ่มขึ้น

        ที่จริงแล้วผู้ที่เกษียณแล้วยิ่งควรจะใช้คอมพิวเตอร์ให้เป็น เพราะมันจะช่วยแก้เหงา แก้ว้าเหว่ได้มากทีเดียว   ในประเทศอเมริกาได้มีการแนะนำให้ผู้สูงอายุฝึกใช้คอมพิวเตอร์ โดยมีการเปิดโรงเรียนสอนเฉพาะผู้สูงอายุกันเลยทีเดียว  ทั้งนี้เพื่อใช้เป็นเครื่องคลายเหงาและยังช่วยไม่ให้เป็นอัลไซเมอร์เร็วขึ้นอีกด้วย  แต่สำหรับผู้สูงอายุในไทยแล้ว บางคนยังต้องมีงานเสริมหรือมีลูกมีหลานไว้ให้เลี้ยง  ก็เลยใช้เวลาหมดไปกับเรื่องเหล่านี้ ก็นับว่าโชคดีสำหรับชีวิตแบบไทยๆ แต่ก็น่าจะมีเวลาเหลือพอติดตามข่าวสารกันบ้าง   ยก เว้นแต่ผู้ที่ต้องการความสันโดษหลังจากเกษียณแล้ว ไม่ต้องการับข้อมูลข่าวสารใดๆทั้งสิ้น ก็ต้องปล่อยเขาไป

        ก็คิดว่าจะลองทำดู   ลองติดตามดูนะครับ หากใครทำไม่เป็นก็อย่าลืมบอกลูกบอกหลานให้ช่วยเปิดหน้านี้ให้ดูหน่อย   เพื่อนๆพี่ๆสามารแสดงความคิดเห็นหรือแจ้งข่าวสารได้ในที่นี้        หากสมาชิกท่านใดต้องการเสนอแนะหรือสอบถามเรื่องใด  จะติดต่อทางโทรศัพท์ก็ได้นะครับ หมายเลข 08 0303 1916 หรือ 08 4655 9145 จะยินดีอย่างยิ่ง
    
 สวัสดีครับ